วิธีรับมือกลิ่นคนแก่ อย่างมั่นใจ

กลิ่นคนแก่ หรือกลิ่นผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย แต่หลายคนก็อาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้กลิ่นนี้ กลิ่นคนแก่เป็นกลิ่นตัวเฉพาะของผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากปฏิกิริยาของเหงื่อและไขมันที่เกิดจากต่อมเหงื่อและต่อมไขมันกับแบคทีเรีย เป็นกลิ่นตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสกปรก แต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุทางวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง

สาเหตุของกลิ่นคนแก่

รู้หรือไม่? ค่า pH โดยเฉลี่ยของผิวหนังของคนเราในช่วงเด็กจนโต จะอยู่ที่ pH 5.4 - 5.9 ซึ่งจะทำหน้าที่เสมือนเสื้อเกราะให้กับผิวหนัง ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพัดศัตรูตัวร้าย ที่พร้อมจะเข้ามารุมทำร้ายผิวหนังของเรา ไม่ว่าจะเป็น เชื้อจุลินทรีย์นานาพันธุ์ หรือ คอยเก็บกักความชุ่มชื้นในผิวหนังไม่ให้สูญเสียไป

แต่พอคนเรามีอายุมากขึ้น ค่า pH ของผิวหนังนั้น ก็ค่อย ๆ ทะยานสูงขึ้น ๆ จนทำให้ผิวหนังมีความเป็นกรดน้อยลง ไม่ว่าจะจะจากสภาพผิวหนังตามอายุเอง รวมไปถึงการใช้สบู่ หรือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่มักมีความเป็นด่างสูงมาก ๆ เช่น ในสบู่ก้อนทำความสะอาดร่างกาย เมื่อค่า pH สูงขึ้นมาก ๆ จึงทำให้ความสามารถในการเป็น “เกราะหุ้ม” ที่คอยปกป้องนั้นลดลง ส่งผลให้ผิวหนังนั้นอ่อนแอลง จนสูญเสียความชื้นไปจนหมด จนทำให้เชื้อจุลินทรีย์หลาย ๆ ชนิด สามารถเจริญเติบโตบนผิวหนังของเรามากขึ้น และทำให้เกิดกลิ่นตัว (malodor) แบบที่เราเรียกกันว่า “กลิ่นคนแก่” ออกมาด้วย

รู้หรือไม่? กลิ่นคนแก่ ยังเกิดจากสารประกอบเคมีชื่อว่า 2-nonenal ซึ่งผลิตโดยต่อมไขมันใต้ผิวหนัง โดยปกติ ร่างกายจะผลิตสาร 2-nonenal อยู่บ้าง แต่เมื่ออายุมากขึ้น ต่อมไขมันจะทำงานลดลง ทำให้เหงื่อและไขมันที่ผลิตออกมา มีปริมาณกรดไขมันอิสระสูงขึ้น เมื่อกรดไขมันอิสระเหล่านี้ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จะเกิดเป็นสาร 2-nonenal ในปริมาณที่มากขึ้น กลายเป็นกลิ่นคนแก่ที่เราได้กลิ่นนั่นเอง

ที่สำคัญคือ สาร Nonenal เป็นสารที่มีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำหรือไขมัน ดังนั้นการอาบน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้กลิ่นคนแก่นี้หายไป กลิ่นคนแก่จึงไม่ได้เกิดจากความสกปรกหรือการไม่อาบน้ำอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นกลิ่นที่เกิดโดยกลไกธรรมชาติ ซึ่งเราไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการอาบน้ำ ถูสบู่ เหมือนกลิ่นเหงื่อจากการเล่นกีฬา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อกลิ่นคนแก่

นอกจากอายุแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อกลิ่นคนแก่ ได้แก่:

• เพศ: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นคนแก่ มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีต่อมไขมันใต้ผิวหนังมากกว่า
• ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: การใช้สบู่ทั่วไป มักมีค่าความเป็นด่างสูง ยิ่งทำให้ผิวเราเป็นด่างมากขึ้น ความเป็นกรดลดลง
• พันธุกรรม: บุคคลที่มีพันธุกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไขมัน มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นคนแก่ มากกว่า
• น้ำหนักตัว: คนอ้วนมีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นคนแก่ มากกว่าคนผอม เนื่องจากมีต่อมไขมันใต้ผิวหนังมากกว่า
• สุขภาพ: โรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต และโรคตับ ส่งผลต่อการผลิตไขมัน และอาจทำให้มีกลิ่นคนแก่ รุนแรงขึ้น
• ยา: ยาบางชนิด อาจส่งผลต่อกลิ่นตัว
• อาหาร: การทานอาหารบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม และอาหารที่มีไขมันสูง อาจส่งผลต่อกลิ่นตัว

วิธีลดกลิ่นคนแก่

แม้กลิ่นคนแก่ จะเป็นกลิ่นธรรมชาติ แต่ก็มีวิธีลดกลิ่นเหล่านี้ ได้ดังนี้:

• อาบน้ำและสระผมเป็นประจำ: ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
• ใช้สบู่อ่อนโยน: เลือกใช้สบู่อ่อนโยน ที่เหมาะกับสภาพผิว ช่วยปรับสภาพผิว โดยเลือกผลิตภัณฑ์ค่า pH ที่ 4-4.5

·       ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ใช้สเปรย์บำรุงผิว Body mist spray ทาโลชั่นบำรุงผิว หลังอาบน้ำ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยปรับสภาพผิว โดยเลือกผลิตภัณฑ์ค่า pH ที่ 4-4.5

• สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย
• ทานอาหารที่มีประโยชน์: ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ และลดอาหารที่มีไขมันสูง
• ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์
• พบแพทย์: หากมีกลิ่นคนแก่ รุนแรง หรือสงสัยว่าอาจเกิดจากโรคประจำตัว ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

สรุป

กลิ่นคนแก่ เป็นกลิ่นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่สามารถลดกลิ่นเหล่านี้ ได้ด้วยการดูแลสุขภาพ รักษาความสะอาด และทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และ บำรุงผิวที่มีค่า pH3.5-4.5 มีสารช่วยระงับกลิ่น 2-nonenal โดยเฉพาะ และควรมีคุณสมบัติประจุบวก เพื่อให้สามารถเคลือบเกาะบนผิวหนังได้อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน โดยควรเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป